จังหวัดสตูล

จังหวัดสตูล
ที่ตั่ง:



ประวัติจังหวัดสตูล

    เดิมสตูลเป็นมูเก็ม ( ตำบล )หนึ่งของเมืองเคดาห์หรือเคดะห์(KEDAH) หรือเมืองไทรบุรีดังนั้นประวัติจังหวัดสตูล
จึงเกี่ยวพันธ์กับประวัติเมืองไทรบุรีมาตลอด จนกระทั่งปี 2452 สตูลจึงได้ถูกตั้งขึ้นเป็นเมืองจัตวาขึ้นกับมณฑลภูเก็ต  และเมื่อประเทศเปลี่ยนการปกครองเมื่อปี 2475  จึงได้ถูกยกฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ตั้งแต่บัดนั้น

        ชื่อ " สตูล" เป็นคำเพี้ยนมาจากคำว่า "สโตย" ในภาษามลายู ซึ่งแปลว่า " กระท้อน " หรือต้นกระท้อนซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด และนักค้นคว้าภาษาสาสตร์ก็มีความเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่มีคำอื่นใดที่จะให้ความหมายชัดเจนกว่านี้  ชาวมาเลย์เองสมัยก่อนและสมัยปัจจุบันก็เรียกจังหวัดสตูลว่า " นัครีสโตย "เช่นกัน


        ถ้าย้อนกล่าวถึงประวัติดินแดนแห่งนี้ให้ละเอียดก็น่าจะเริ่มต้นตอนที่พระยาไทรบุรี (ปังแงรัน) ขัดแย้งกับปลัดเมืองคือพระยาอภัยนุราช ( ตนกูปัสนูหรือปัสนู)หรือการไม่ยอมอ่อนน้อมต่อกันด้วยยศักดิ์ศรี จนกระทั่งสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงรับสั่งให้พระยาพัทลุง(ทองขาว) ไปไกล่เกลี่ยแต่ไม่สำเร็จ  พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯให้พยาอภัยนุราช(ปัสนู)มาปกครองเมืองสโตย ซึ้งหลังจากนั้น 2 ปี ท่านก็ถึงแก่กรรม  ไม่ปรากฏว่าท่านได้สร้างอะไรไว้บ้าง  เพราะตามจดหมายเหตุได้บอกไว้ว่าพระยาอภัยนุราชได้เดินทางมาระหว่างเมืองสโตยและเมืองไทรบุรีเป็นประจำ  มิได้เอาใจใส่การปกครองบ้านเมืองมากนัก เรื่องราวของเมืองสโตยหลังจากพระยาอภัยนุราชถึงแก่กรรมก็ได้เงียบหายไป  มิได้ถูกกล่าวถึงอีกจะมีกล่าวถึงก็เมืองไทรบุรีเท่านั้น เช่นเรื่องมีการกบฏเกิดขึ้นคือตนกูเด็นแข็งข้อในปีพ.ศ.2473  และกบฏตนกูมะหะหมัดสอัด พ.ศ.2381 เป็นต้น อย่างไรก็ตามเมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ก็ทรงโปรดให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราขโกษา ( ทัด ) ออกไปปราบแต่พอยกทัพไปถึงเมืองสงขลา กองกำลังเมืองนครศรีธรรมราชและกองทัพเมืองพัทลุงยกตีจนได้เมืองไทรบุรีคืนมา จึงได้ดำริกราบทูลให้จัดปกครองเมืองไทรบุรีและเมืองย่อยต่างๆเพื่อสะดวกแก่การดูแลคือ

                 1. ยกตำลบสโตย  เป็นเมืองสโตยและกราบทูลให้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตนก็ฮัมหมัดอาเกบ บุตรพระยาอภัยนุราชเป็นเจ้าเมืองปกครอง

                 2. ยกตำบลเปอร์ลิส เป้นเมืองเปอร์ลิส มีไซยิด ฮูเซ็น เป็นเจ้าเมือง
                 3. ยกเมืองเคดาห์( ไทรบุรี ) ให้ตนกูอานุม เป็นเจ้าเมือง

          จน พ.ศ.2384 เจ้าพระยาไทรบุรี( ปังแงรัน) ซึ่งเคยขัดแย้งกับพระยาอภัยนุราช(ปัสนู) และหนีราชภัยไปพำนักที่เมืองมะละกาได้กลับมาเมืองไทรบุรี ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษและทรงโปรดเกล้าฯให้ตนกูอานุมไปปกครองเมืองกูปังปา ซึ่งเป็นเมืองตั้งใหม่ จากตำบลหนึ่งของไทรบุรีคือมูเก็มปังปาซู

      ในปี พ.ศ.2382 ตอนที่ตนกูมูฮัมหมัดอาเกบ ได้รับพระกรุณาแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองสโตยนั้น ก็ได้บรรดาศักดิ์เป็น พระยาอภัยนุราช ชาติรายาภักดี ศรีอินทรวิทยาสตูล และได้ปกครองเมืองสโตยเป็นสามารถ   การค้าเริ่มเจริญรุ่งเรืองจนมีอำนาจครอบครองหมู่เกาะต่างๆในช่องแคบมะละกาจากชายฝั่งเมืองสโตยเมืองเปอร์ลิส  จรดเกาะพีพี เมืองพังงา   จนเมืองสโตยได้สมญานามว่า " นครสโตย มันปังซังคารา " หมายถึง " เมืองสโตยเจ้า(เทวดา)แห่งทะเล " จังหวัดสตูลจึงใช้พระสมุทรเทวาเป็นตราของจังหวัดจนถึงปัจจุบัน

       พระยาอภัยนุราช( มูฮัมหมัดอาเกบ ) ปกครองเมืองสโตยได้ 37 ปี ( พ.ศ.2382 - 2491 ) ก็ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้า  เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสมันตรัฐบุรินทร์มหินทราธิราชนุวัติ ศรีสกลรัฐมหาธานาธิการ ไพศาสสุนทรจิตสยามพิชิตภักดี จางวางเมืองสตูล  และได้แต่งตั้งตนกูอิสมาแอลเป็นเจ้าเมืองสตูลแทน มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยนุราชชาติรายาภักดีศรีอินทรวิยาพระยาสตูล และทรงโปรดเกล้าฯให้ตนกูอะหมัดเป็นพระอินทรวิชัย  ตำแหน่งปลัดเมือง  มีหน้าที่กูแลหมู่เกาะรังนกนางแอ่นและรายได้จากรังนกทั้งหมด

      ในปี พ.ศ.2423   พระยาอินทรวิชัย  ( อะหมัด ) เกิดบาดหมางกับพี่ชายคือพระยาอภัยนุราช ( อิสมาแอล ) เกี่ยวกับพวกสมาชิกจีนอั้งยี่  ปล้นสดมภ์ทำลายประตูเมือง   จึงได้ชักชวนกูฮำหมัดพร้อมที่ปรึกษาชื่อเจ๊ะอาด  และบริวารอพยพไปที่ตำบลกำแพง อำเภอละงู ในปัจจุบัน  และที่นี่พระยาอินทรวิชัย ( อะหมัด ) ได้วางราฐานการปกครองในเมืองละงูไว้ปรากฏหลักฐานจนเป็นที่นับถือของราษฎรในขณะนี้

        พ.ศ.2427  พระยาอภัยนุราช ( อิมาแอล ) ถึงแก่นิจกรรมหลังจากเป็นเจ้าเมืองอยู่ 9 ปี ผู้ที่ได้รับเป็นเจ้าเมืองต่อมาคือ ตนกูอับดุลเราะห์มาน  บุตรชายคนโตซึ่งภายหลังได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยนุราชเช่นเดียวกับบิดาและมีตนกูมะฮะหมัดเป็นปลัดเมือง   ซึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาภิไสยสิทธิ์สงคราม   ตนกูอับดุลเราะห์มาน  เจ้าเมืองคนใหม่นี้ขาดความเฉลียวฉลาด ไม่มีไหวพริบในการปกครองบ้านเมือง    เจ้าเมืองไทรบุรีจึงขอให้พระอินทรวิชัย ( อะหมัด ) อับดุลฮำหมัดซึ่งอพยพไปอยู่ที่เมืองละงู กลับมาช่วยราชการที่เมืองสตูล โดยแต่งตั้งให้พระอินทรวิชัยเป็นกรมการเมือง และแต่งตั้งกูฮัมหมัดเป็นฮากิม ( ผู้พิพากษา )


      พระยาอภัยนุราช ( อับดุลเราะห์มาน ) ปกครองเมืองสตูลอยู่ได้ 10 ปี เกิดเป็นโรคประสาท ฟั่นเฟือน ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ทางราชการเมืองไทรบุรี จึงส่งกูเด็นบินกูแมะ  ( ต้นตะกูลบินตำมะหงง ) ข้าราชการฝ่ายปกครองให้มาช่วยราชการในปี พ.ศ.2438 บุคคลผู้นี้เองที่ได้เริ่มปรับปรุงเมืองสตูลทุกๆด้าน จนมีความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองเป้นรากฐานมาจนทุกวันนี้
      หลังจากนั้น 3 ปี พระยาอภัยนุราช ( อับดุลเราห์มาน ) ก็ถึงแก่กรรม ความสำคัญของกูเด็นบินกูแมะก็มีมากขึ้นได้ปฏิบัติราชการแทนเจ้าเมืองต่อจนถึงปี 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองไทรบุรี เมืองเปอร์ลิสและเมืองสตูลเป็นมณฑลไทรบุรี

มีพระยาฤทธิสงครามรามภักดีเจ้าพระยาไทรบุรี ( อับดุลฮามิด ) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนี้สืบไป  มีอำนาจบังคับบัญชาเมืองเปอร์ลิส  เมืองสตูล และให้กรมการหัวเมืองทั้งสองฟังคำสั่งโดยชอบด้วยราชการทุกประการกูเด็นบินกูแมะ บริหารราชการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลอย่างเต็มความสามารถได้แบ่งส่วนราชการเพื่อสะดวกในการปกครองเสียใหม่ตามแบบอย่างจากเมืองไทรบุรี  จึงทำให้การปกครองดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วจนชื่อเสียงปรากฏท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูลโดยสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ.2443 ลงไว้ในหนังสือราชการว่า  ตนกูฮามิดบินกูแมะ  และได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นหลวงอินทรวิชัย พระอินทรวิชัยและพระยาอินทรวิชัย  ตามลำดับ ในสมัยตนกูบาฮารุดดินเป็นเจ้าเมืองนี้ ได้มีการปรับปรุงพัฒนาทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง ด้านศาสนา ด้านเศรษฐกิจและด้านคมนาคม  ถือได้ว่าตนกูบาฮารุดดินเป็นเจ้าเมืองคนแรกของสตูลที่นำความเจริญทุกๆด้านมาสู่สตูลอย่างรวดเร็วและทันสมัยเป็นรากฐานการพัฒนา

มาจนถึงทุกวันนี้ 
ตราประจำจังหวัดสตูล

รูปพระสมุทรเทวาสถิตอยู่บนแท่นหินกลางทะเล เบื้องหลังมีรัศมีพระอาทิตย์อัสดง พระสมุทรเทวา คือ เทวดาผู้ปกป้องรักษามหาสมุทร บัลลังก์หิน คือ วิมารของเทวดา พระอาทิตย์อัสดง คือ ฝั่งทะเลตะวันตก หรือมหาสมุทรอินเดียนั่นเอง
คำขวัญประจำจังหวัดสตูล
"สตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์"


สัญลักษณ์ประจำจังหวัด





หน่วยการปกครอง
การปกครองแบ่งออกเป็น 6 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ
1. อำเภอเมืองสตูล 
2. อำเภอควนโดน 
3. อำเภอควนกาหลง 
4. อำเภอท่าแพ 
5. อำเภอละงู    
6. อำเภอทุ่งหว้า 
7. กิ่งอำเภอมะนัง
ลักษณะภูมิประเทศ
              พื้นที่จังหวัดสตูลทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกเป็นเนินเขาและภูเขาสลับซับซ้อน โดยมีทิวเขาที่สำคัญแบ่งเขตประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย คือ ทิวเขาบรรทัดและทิวเขาสันกาลาคีรี พื้นที่ของจังหวัดค่อย ๆ ลาดเอียงลงสู่ทะเลด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ โดยยังมีภูเขาน้อยใหญ่อยู่กระจัดกระจายในตอนล่าง ภูเขาที่สำคัญ ได้แก่  เขาจีน เขาบารัง เขาใหญ่ เขาทะนาน และเขาพญาวัง และมีที่ราบแคบ ๆ ขนานไปกับชายฝั่งทะเล   ถัดจากที่ราบลงไปเป็นพื้นที่ป่าชายเลนน้ำเค็มขึ้นถึง อุดมไปด้วยป่าแสมและป่าโกงกาง สตูลเป็นจังหวัดที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน คงมีแต่ลำน้ำสั้น ๆ ต้นน้ำเกิดจากภูเขาทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของจังหวัด
อาณาเขต
         
ทิศเหนือ          ติดต่อกับ  จังหวัดตรัง และพัทลุง
        
ทิศใต้              ติดต่อกับ  ประเทศมาเลเซียและมาหาสมุทรอินเดีย
        
ทิศตะวันออก     ติดต่อกับ  จังหวัดสงขลา
        
ทิศตะวันตก       ติดต่อกับ  มหาสมุทรอินเดีย
ประเพณีและวัฒนธรรม
  • งานมหกรรมเทศกาลโรตีของดีเมืองสตูล

 เป็นการแสดงและจำหน่ายโรตีของจังหวัดสตูล ที่มีหลากหลายประเภท จัดข้นในเดือนมกราคมของทุกปี 
  • งานแข่งขันว่าวประเพณีจังหวัดสตูล



จัดขึ้นเป็นประจำ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ณ บริเวณสนามบิน สตูล

  • งานวันเมาลิดกลางจังหวัดสตูล


เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงหลักธรรมคำสอน และผลงานของท่านนบีมูฮัมมัด เพื่อเป็นการส่งเสริมสถาบันศาสนาอิสลามและเพื่อผนึกกำลังของพี่น้องมุสลิม ในการร่วมกันแก้ปัญหาที่สำคัญของจังหวัด จัดเดือนพฤษภาคมของทุกปี
  • งานประเพณีลอยเรือของชาวเกาะหลีเป๊ะ

   ซึ่งทำกันปีละ 2 ครั้ง คือ ในเดือนพฤษภาคมและเดือนพฤศจิกายน เพื่อลอยบาปและเป็นการเสี่ยงทายในการประกอบอาชีพ

สถานที่ท่องเที่ยว
  • เกาะหลีเป๊ะ

เกาะสิเป๊ะหรือเกาะหลีเป๊ะ อยู่ทางใต้ของเกาะอาดัง 2 กิโลเมตร มีชุมชนชาวเลอาศัยอยู่หลายครัวเรือน ส่วนใหญ่มีอาชีพทำการประมง ในวันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 6 และเดือน 12 ตลอด 3 วัน 3 คืน ชาวบ้านทีมีเชื้อสายชาวเลจะร่วมกันจัดงานรื่นเริง และที่สำคัญที่สุดคือ ชาวบ้านจะช่วยกันต่อเรือด้วยไม้ระกำ และประกอบพิธีลอยเรือด้วยเป็นความเชื่อว่าเป็นการเสี่ยงทายโชคชะตาในการประกอบอาชีพประมง
  • เกาะหินงาม



เกาะขนาดเล็กทางทิศใต้ของเกาะอาดัง ทั้งเกาะเต็มไปด้วยหินสีดำ กลมเกลี้ยง มันวาว เล่ากันว่าหินทุกก้อนมีคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา หากใครนำติดตัวไปจะเกิดแต่หายนะ แต่หากไปชมแล้วเรียงก้อนหินได้ 12 ชั้น แล้วอธิษฐานขอพรก็จะได้สมปรารถนาทุกสิ่งทุกอย่าง
  • หมู่เกาะอาดัง-ราวี

หมู่เกาะอาดัง-ราวี อยู่ห่างจากเกาะตะรุเตาไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 40 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวเมืองสตูล 60 กิโลเมตร อ.เมืองสตูล จ.สตูล ถ้าคุณชอบทะเลสวย น้ำใสๆ หาดทรายสีขาว ขอแนะนำหมู่เกาะอาดัง-ราวี จ.สตูลที่นี้ เป็นเกาะที่มีหาดทรายละเอียดสวยงามรอบเกาะมีเกาะเล็กๆ หลายเกาะ เช่น เกาะหลีเป๊ะ เกาะดง เกาะหินงาม และเกาะยาง ซึ่งเป็นเกาะที่เหมาะสำหรับการดำน้ำตื้น มีน้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดปี คือ น้ำตกโจรสลัดบนเกาะอาดังยังมีจุดชมวิว "ผาชะโด" บนผาชะโดเป็นลานโล่งมองลงไปจะเห็นทิวสนและแหลมทรายสีขาวของเกาะอาดัง เกาะหลีเป๊ะ และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกอีกด้วย ลองไปดูสักครั้งแล้วจะติดใจ อยู่ห่างจากเกาะตะรุเตาไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 40 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวเมืองสตูล 60 กิโลเมตร หมู่เกาะอาดัง-ราวี นอกจากจะประกอบด้วยเกาะอาดัง และเกาะราวี ซึ่งเป็นชื่อของหมู่เกาะแล้ว ยังมีเกาะบริวารน้อยใหญ่เช่นเกาะหลีเป๊ะ เกาะหินงาม เกาะยาง เกาะดง เกาะหินซ้อน เกาะจาบัง เป็นต้น

  • อุทยานแห่งชาติตะรุเตา
อุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของไทย ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 50 เกาะแบ่งเป็นหมู่เกาะใหญ่ๆได้ 2 หมู่เกาะคือหมู่เกาะตะรุเตาและหมู่เกาะอาดัง-ราวีเป็นพื้นที่อุทยานที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และความสวยงามของธรรมชาติ ทั้งจากบนเกาะที่เป็นป่าดิบเขียวขจี อ่าวที่มีหาดทรายขาวสวยเมื่อมองจากจุดชมวิวจะเห็นภูมิทัศน์ที่งดงามยิ่งภายใต้ผืนน้ำมีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกเต็มไปด้วยฝูงปลานานาชนิดสีสันสวยงามเป็นสังคมใต้ทะเลที่สร้างความตื่นตาให้กับผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก เมื่อปี พ.ศ.2525 องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกแห่งอาเซียน ( ASEAN Heritage Parks and Reserves )
  • เกาะไข่


เกาะไข่ อยู่ห่างจากเกาะตะรุเตาไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากเกาะตะรุเตาประมาณ 40 นาที สิ่งที่มีชื่อเสียงบนเกาะไข่ ได้แก่ ซุ้มประตูหินธรรมชาติ เป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ทะเลรอบ ๆ เกาะไข่มีแนวปะการังอยู่โดยทั่วไป ทุกปีจะมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่เป็นจำนวนมาก ทางด้านตะวันตกของเกาะมีหาดทรายสีขาวนวล และละเอียด น้ำทะเลใสเห็นผืนทรายใต้น้ำได้ชัดเจน


  • เกาะหินซ้อน

เกาะหินซ้อน ตั้งอยู่หน้าเกาะดง และเกาะผึ้ง ห่างจากเกาะอาดังประมาณ 15 กิโลเมตร ลักษณะและขนาดเหมือนในรูป แค่นี้เอง เกาะหินซ้อน จุดเด่นบนเกาะคือก้อนหินขนาดใหญ่สองก้อนซึ่งซ้อนกันอยู่ ก้อนล่างแตกแล้ว ทำท่าว่าจะหล่นมิหล่นแหล่ แต่ก็ไม่หล่น แผ่นดินอย่างรุนแรงหลายครั้งที่ผ่านมาก็ไม่หล่น หินซ้อนมิได้มีความสวยงามอะไร มีแต่ความแปลกที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ให้ก้อนหินสี่เหลี่ยมสองก้อนซ้อนกันอยู่
  • อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา


อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา มีลักษณะคล้ายเรือสำเภา เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบมะละกาทะเลอันดามัน ในคาบมหาสมุทรอินเดียทางฝั่งตะวันตกของไทย ครอบคลุมพื้นที่ชายหาดตลอดแนวฝั่งทะเลในท้องที่ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู ตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล และตำบลสุกรอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ที่สำคัญคือ เกาะเภตรา เกาะเขาใหญ่ เกาะละโละแบนแต เกาะลิดี เกาะบุโหลน เกาะเหลาเหลียง และเกาะเปรามะ ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาลาดชันสูง มีพื้นที่ราบบริเวณหุบเขาและชายหาด มีพื้นที่ทั้งบนบกและทะเลประมาณ 494.38 ตรกม. หรือ 308,987 ไร่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. 2526 และได้ประกาศในพระราชกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2527 อุทยานฯ แห่งนี้เป็นจุดรวมของความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มา มีป่าไม้ ภูเขา สัตว์ป่า และปะการังหลากสีสวยงาม สถานที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ เป็นเวิ้งอ่าวธรรมชาติที่เรียกว่า "อ่าวนุ่น"








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น